2552-12-14












สมุนไพรเพื่อผิวกาย หลากหลายประโยชน์สำหรับผิวพรรณ
ในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาไปมากด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง
ได้มีการสกัดสารสำคัญจากธรรมชาติ เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
เสริมความงามต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นบำรุงผิวพรรณ
หรือเครื่องประทินความงามอื่น ๆ มาวางตลาดให้เลือก
แต่ย่อมมีราคาแพง จึงส่งผลให้คนที่ยึดติดกับเรื่องความสวยความงาม
ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับ เรื่องนี้อย่างมหาศาล
แต่วันนี้...ถึงไม่มีเงินก็สวยได้ เพราะมีสูตรลับในการนำสมุนไพรไทยมาช่วย
ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย
นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย
ที่สำคัญว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึมทำงานได้เป็นปกติ
ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุดได้
ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่าผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น
มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิวและลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย
การใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิว เริ่มต้นที่ปอกเปลือกออกใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส
ที่อยู่ภายใน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่าตนเอง
จะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทา
ตรงบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้ สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงแสดงว่าแพ้
ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็สามารถใช้ได้ตลอด
เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว
ส่วนคนที่มีผิวที่มันก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้งก็ยังรักษาความชุ่มชื่น
ของผิวไว้ได้
งา (Sesamum indicum Linn., S. orientle,L) เมล็ดงามีทั้งสีดำและสีขาว ซึ่งในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ประมาณ 45-54 % น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
สำหรับคนที่ผิวหยาบกร้านสามารถนำเอาเมล็ดงาสดมาบีบน้ำมันงาออกโดยไม่ผ่านความ
ร้อน ใช้ทาผิวหนังเพื่อบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่อง ช่วยประทินผิวให้นุ่มนวลไม่หยาบกร้านได้
แตงกวา เป็นผักที่มีวิตามินสูง ในผลแตงกว่ายังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่ง ช่วยย่อยโปรตีนได้
เอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม
เกิดขึ้นมาแทนที่ ใช้แตงกวาสดผ่าเป็นชิ้นบาง ๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดแทน
น้ำแตงกวา ปัจจุบันมีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว
เพื่อช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว
ใช้ติดต่อกันเป็นประจำจะทำให้สวยสดชื่นมีน้ำมีนวล
มะเขือเทศ แล้วเป็นผักที่มีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุกจะมีสาร
1icopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้ และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า
จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้เช่นกัน
ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด
ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคันได้ ผงขมิ้นใช้ทาตัวเพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว
และช่วยฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย
น้ำผึ้ง ที่ได้จากผึ้ง ในน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส, ฟรุกโตส, ขี้ผึ้ง, อัลบูมินอยด์,
ละอองเกสรดอกไม้, และ ฮอร์โมนเอสโตรเจนจำนวนเล็กน้อย
น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้าทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น
เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว
น้ำผึ้งเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ให้ประโยชน์สูงและหาง่าย
นอกจากนี้ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยบำรุงหนังศรีษะ
และกระตุ้นการงอกของเส้นผมอีกด้วย
มะขามเปียก ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อน ๆ
ในมะขามจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่นและนมสด
ผสมให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก
ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง
ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มได้

2552-10-20

กรดจากมะนาว





















ความเป็นกรดของมะนาวทำให้มันมีประโยชน์หลายอย่างต่อชีวิตของคุณ
1.กำจัดคราบเหลืองจากปลายเล็บที่เกิดจากการสูบบุหรี่หรือคราบกาแฟ
เพียงแค่ถูมะนาวฝานลงบนคราบเหลืองๆ นั่น มันจะจางหายไปได้ในที่สุด
2.ใช้เพื่อรักษาสิว ด้วยการใช้น้ำมะนาวสดแต้มลงบนรอยสิว
3.ใช้ทำความสะอาดกีตาร์และเครื่องดนตรีที่เป็นสายอื่นๆ
เว้นแต่ชนิดที่เป็นไม้เมเปิล โดยน้ำมะนาวจะกำจัดคราบสกปรกบนคอกีตาร์
และทำให้พื้นผิวของมันเงางามขึ้นด้วย

ที่มาจาก นิตยสาร Lisa http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_40152_1.women

2552-10-06

ฝึกหายใจ







ฝึกหายใจให้หายง่วง
ตกบ่ายเป็นต้องสมองตื้อตัน ความคิดไม่แล่น
เนื่องจากความง่วงเหงาหาวนอนเป็นประจำหรือเปล่า
จะแก้อาการด้วยกาแฟสักแก้ว ก็คงเป็นการหลอกตัวเองแบบไม่มีประโยชน์
ในหนังสือ "พลังบำบัด ร่างกายคุณรักษาตนเองได้"
ของนายแพทย์แอนดรู ไวล์ เมีวิธีบริหารลมหายใจซึ่งจะช่วยกระตุ้นร่างกาย
ปลุกตัวเองให้กระฉับกระเฉงขึ้นได้ด้วย
นั่งในท่าสบาย ๆ หลังตรง หลับตา เอาปลายลิ้นแตะ
ที่ฟันบนด้านในแล้วเลียขึ้นไปทางเพดาน
พอพ้นฟัน พักปลายลิ้นที่ตำแหน่งนั้น เรียกว่าตำแหน่ง "โยคะ"
พักลิ้นไว้จุดนี้ตลอดการฝึก
หายใจเข้าออกถี่ ๆ ทางจมูก หุบปากตามสบาย
การหายใจเข้าและออกควรเป็นระยะเท่ากันและถี่กระชั้น
จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ฐานต้นคอเหนือกระดูกไหปลาร้า
และที่กระบังลมเกิดการเคลื่อนไหวตาม
หน้าอกต้องกระเพื่อมเร็วและเป็นจังหวะคล้าย ๆ กำลังสูบลมด้วยที่สูบลม
ภาษาสันสกฤตจะเรียกหารบริหารบทนี้ว่า "การหายใจแบบสูบลม"
ซึ่งควรมีเสียงทั้งหายใจเข้าและหายใจออก
หายใจให้ได้สัก 3 รอบต่อ 1 วินาที ถ้าพอทำไหว
ครั้งแรกที่ลองหายใจแบบนี้ ให้ทำสัก 15 วินาทีก็พอ
ตามด้วยการหายใจปกติ แต่ละครั้งที่จะบริหารก็ให้เพิ่มเวลาขึ้นเป็นครั้งละ 5 วินาที
จนกระทั่งทำได้ถึง 1 นาทีเต็ม วิธีนี้เป็นการออกกำลังกายให้แก่การหายใจจริงๆ
จึงควรรู้สึกล้าตามกล้ามเนื้อจุดต่างๆ ที่ใช้งาน ไม่ต้องวิตก
การบริหารบ่อย ๆ จำทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
และเมื่อกลับสู่การหายใจปกติ จะรู้สึกว่ามีพลังงานเคลื่อนไหวถ่ายเท
ไปตลอดทั้งร่างอย่างเบาบาง แต่หนักแน่น
วิธีบริหารลมหายใจนี้จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ทำงานมากขึ้น
ลองใช้วิธีนี้แก้ง่วงแทนกาแฟ คุณหมอแอนดรูก็ใช้วิธีนี้เสมอยามขับรถ
เขาพบว่ายิ่งทำมากเท่าใด ยิ่งสร้างพลังให้แก่คุณเองมากขึ้นเท่านั้น

2552-09-21

สะอึก?????





ไขปัญหาอาการสะอึก
การสะอึกที่เกิดขึ้นตามปกตินั้น สาเหตุเป็นเพราะกระเพาะอาหารเกิดการระคายเคือง
จึงกระตุ้นให้เส้นประสาทในบริเวณนี้ทำงานผิดปกติ
ทำให้กล้ามเนื้อกะบังลมมีการหดเกร็งตัวเป็นจังหวะ ๆ
และกล้ามเนื้อซี่โครงได้รับผลกระทบให้เกิดการหดเกร็งตัวในลักษณะเดียวกัน
แต่สาเหตุก็ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการระคายเคืองที่กระเพาะอาหารเสมอไป
บางครั้งก็อาจก่อตัวที่ ศูนย์การสะอึก ที่อยู่ในสมองที่บังคับควบคุมให้เกิด
การเคลื่อนไหวผิดปกติของกะบังลม จนเกิดเป็นอาการสะอึก
โดยมากแล้วอาการสะอึกมักเกิดขึ้นไม่นานจะเป็นเพียงแค่ 2-3 นาที
แล้วก็จะหายเป็นปกติ แต่ถ้าสะอึกเป็นเวลานาน
เช่นสะอึกเป็นชั่วโมงหรือครึ่งค่อนวัน และยิ่งถ้าหากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหรือถ่ายเป็นเลือดร่วมอยู่ด้วย ควรที่จะรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไป
ส่วนสาเหตุของการสะอึกที่ไม่ปกตินั้น อาจจะเกิดจากโรคอื่น ๆ
เช่น กระเพาะลำไส้อุดตัน ลำไส้โป่งพอง เยื่อบุช่องท้องอักเสบ
หรือการกลืนอาหารอย่างรีบร้อน อาหารติดคอ ปอดอักเสบ
สำหรับวิธีการแก้โรคสะอึกนั้นวิธีง่าย ๆ ก็คือ กลั้นลมหายใจไว้โดยนับ 1-10
แล้วค่อยหายใจออก จากนั้นก็ดื่มน้ำตามทันที
เขี่ยภายในรูจมูกให้จาม ให้พยายามกลืนน้ำตาลประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ
โดยไม่ต้องใช้น้ำ
หรือทำให้เกิดการโกรธ ตื่นเต้นหรือกลัว ก็จะสามารถช่วยได้
แต่ถ้าหากว่าทำตามวิธีข้างต้นแล้วยังไม่หาย ควรที่จะต้องไปพบแพทย์
เพื่อตรวจหาสาเหตุโรคอย่างอื่นร่วมด้วย

2552-08-13







8กฎเหล็กการทานน้ำผึ้งตามศาสตร์จีน
ข้อห้ามและข้อควรระวังการกินน้ำผึ้งตามศาสตร์แพทย์แผนจีน
1. ผู้ ป่วยเบาหวานห้ามกิน เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคส
และฟรักโทสที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที
จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวเเร็ว การหลั่งอินซูลินของตับอ่อนไม่พอ
2. ห้ามกินปริมาณมาก โดยเฉลี่ยวันละ 1-2 ช้อน
ประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษอาจกินเพิ่มได้
แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม/วัน
3. คนที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น
เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น
4. ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
นื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง
5. การผสมน้ำอุ่นประมาณไม่เกิน 40 องศา
ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัดๆ เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน และกรดอะมิโน
และสารที่มีคุณค่า นฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่ม แต่ควรจะผสมน้ำขิงเล็กน้อย
ป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น
6. ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็ม มีคุณสมบัติเย็น
สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินร่วมกันทำให้ท้องเสียง่าย
อีกเหตุผลหนึ่งคือ เอนไซม์จากน้ำผึ้งจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีน สารอินทรีย์ของเต้าหู้
จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการด้อยไป
7. ไม่ ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะ กุยช่าย มีวิตามินซีมาก
จะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดง และเหล็กในน้ำผึ้ง เกิดออกซิเดชัน ทำให้คุณค่าด้อยลง
อีกเหตุผลหนึ่ง น้ำผึ้งทำให้ระบาย กุยช่ายมีเส้นใยมาก เมื่อกินร่วมกันจะทำให้ท้องเสียง่าย
8. ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอมและกระเทียม จะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง
ที่มา หมอชาวบ้าน http://variety.hunsa.com/detail.php?id=2198

2552-07-27










อาหาร 8 ชนิดสร้างภูมิสู้ !!!หวัด


การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหาร 8 ชนิดดังต่อไปนี้ที่เชื่อว่าอาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด ประกอบด้วย
1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆ วันละ 1 - 2 กลีบก็ได้
3. ดื่มน้ำมากๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยลดเสมหะได้
4. ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลายๆ สี
เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง
มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนานๆ
จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย
5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ)
วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น
6. ผลไม้ตระกูลส้ม ซึ่งมีวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงการติดหวัด
โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบบุหรี่
บุหรี่เองเพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น
7. อาหารอื่นๆ ที่เป็นแหล่งวิตามินซี เช่น ฝรั่ง พริกหวาน
สตรอเบอร์รี่ สับปะรด กะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน
8. ขิง ช่วยลดอาการหวัดและป้องกันหวัด น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2 - 3 กลีบ
ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น

ที่มา kroobannok.com :http://women.mthai.com/views_health_11_47_38591_1.women






2552-07-22

โรคไหนๆ ก็แพ้เกลือ
















โรคไหนๆ ก็แพ้เกลือ
1. ไอเพราะเป็นหวัด เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ
2. มึนหัว สมองไม่แล่น รองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ เกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง
3. เร่งให้อาเจียน ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา
ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ
4. คัดจมูก ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก
5. คันตามผิวหนัง ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์
6. โรคตาแดง โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี)
จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี
หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้ง
ด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาจะทุเลาลง
7. แผลยุงกัด ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบ