2553-10-19

พาราเซตามอล









ยาพารา ชื่อนี้มีดีที่ตรงไหน
พาราเซตามอล หรือ ยาพารา มีอีกชื่อหนึ่งว่า Acetaminophen
ด้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่18 แต่ว่าเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1955
และจัดว่ายาพาราเซตามอลเป็นยาสามัญประจำบ้าน
ซึ่งเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดไข้ได้อย่างดี
และเป็นยาแก้ปวดตัวแรก ๆ ที่แพทย์จะเลือกใช้กับคนไข้
เนื่องจากมีความปลอดภัย และไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
โดยปริมาณการกินที่ถูกต้อง
คือ ยาพาราเซตามอล 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัม
ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ก็ต้องใช้ยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม
หรือ 1 เม็ด นั่นเองค่ะ แล้วก็กินห่างกัน 4 – 6 ชั่วโมงต่อครั้ง
ถึงแม้ว่ายาพาราจะไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
แต่ก็ไม่ควรติดต่อกัน 5 วัน
เพราะจะมีผลต่อตับได้ และผู้ป่วยโรคที่
เป็นโรคตับก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ขณะกินตัวยานี้ด้วย

2553-08-24




วิธีแก้เผ็ด
ไม่ได้กำลังแนะนำให้โต้ตอบใครที่เขาทำให้เจ็บใจหรอกนะ
แต่หมายถึงวิธีแก้ความเผ็ดเวลาที่เผลอกินพริกเม็ดจิ๋ว
แต่เผ็ดร้อนแรงยิ่งนักต่างหาก
ความเชื่อเก่า: ดื่มน้ำเย็นตามทันที เพื่อหวังดับความเผ็ดร้อน
ก่อนจะพ่นไฟเป็นมังกร
ผลที่ได้: ไม่ได้ช่วยให้หายเผ็ด แต่กลับกลายเป็นว่า
การดื่มน้ำจะยิ่งไปกระจายความเผ็ดให้ทั่วปากมากขึ้นแทน
วิธีแก้เผ็ด : รับประทานข้าว ขนมปัง หรือจะดื่มนม จากนั้นค่อยอมลูกอมก็ได้
เพราะความหวานในอาหาร เครื่องดื่ม หรือลูกอมเหล่านี้
จะช่วยดูดซับสารแคปไซซิน(Capsaicin) ที่เป็นตัวการให้เกิดความเผ็ดร้อน
เมื่อลิ้นหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไปสัมผัสเจ้าพริกเม็ดจิ๋วเข้า
หรือ ดื่มน้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศสดๆ จะช่วยแก้เผ็ดได้เพราะกรดจะไปทำปฏิกิริยากับสารดังกล่าว
ซึ่งเป็นด่าง ทำให้ความเผ็ดแผลงอิทธิฤทธิ์น้อยลง

ที่มา: นิตยสาร Lisa vol.5 no.30 วันที่ 7.10.2004

2553-06-27

ล้างผักลดพิษ (Momypedia)










ล้างผักลดพิษ (Momypedia)

หากไม่สามารถหาซื้อผักปลอดสารพิษหรือปลูกผักกินเองได้
อาจจำเป็นต้องกินผักที่ฉีดสารเคมีกำจัดแมลง
การล้างผักเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดพิษภัยจากสารเคมีได้
1.ผสมโซเดียมไซคาร์บอเนต (ผงฟู) 1 ช้อนโต๊ะ
ในน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่ผักทิ้งไว้นาน 15 นาที
ะลดปริมาณสารพิษได้รอยละ 90-95
2.ใช้น้ำส้มสายชูละลายน้ำความเข้มข้น 0.5 %
(น้ำส้มสายชู 1 ขวดใหญ่ / น้ำ 4 ลิตร)แช่ผักทิ้งไว้นาน 15 นาที
จะลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 60-84
3.ล้างผักโดยให้น้ำไหลผ่าน โดยเด็ดผักเป็นใบ ๆ ใส่ตะแกรงโปร่ง
เปิดน้ำให้แรงพอประมาณ คลี่ใบผักให้น้ำผ่านทั่วถึง ล้างนาน 2 นาที
จะลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 54-63 แต่จะใช้น้ำค่อนข้างมาก
4.แช่ผักในน้ำสะอาด ล้างผักให้สะอาดจากสิ่งสกปรกด้วยน้ำครั้งหนึ่งก่อน
แล้วเด็ดเป็นใบๆ แช่ลงในอ่างนาน 15 นาที จะลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 7-33
5.ลวกผักด้วยน้ำร้อน จะลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 50 ส่วน
การต้มจะลดได้เท่ากับการลวกผัก แต่สารพิษอีกร้อยละ 50 จะยังคงอยู่ในน้ำแกง

ที่มา :http://health.kapook.com/view7797.html 28/06/53




2553-06-10

Beta-carotene






เบต้าแคโรทีน เพื่อหัวใจและสุขภาพ

อาหารที่มีเบต้า แคโรทีน (Beta-carotene) เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ แตงโม แคนตาลูป บรอกโคลี ฯลฯ
ผักและผลไม้เหล่านี้มีประโยชน์ มีสารอาหารมากมาย มีวิตามิน และหนึ่งในสารอาหารมากประโยชน์ และเป็นสารอาหารยอดนิยมในการดูแลสุขภาพร่างกาย และสุขภาพหัวใจ ก็คือ เบต้าแคโรทีน
เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในพืชที่มีสีเหลืองและสีส้ม เบต้าแค่โรทีนถือเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งเมื่อรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนแล้ว
ร่างกายจะทำการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนให้กลายเป็นวิตามินเอ โดยกระบวนการแล้ว เบต้าแคโรทีนจะมีสูตรทางเคมีที่โรงสร้างใหญ่ แต่เมื่อผ่านสู่กลไกการทำงานของตับจะเปลี่ยนให้เบต้าแคโรทีนกลายเป็นวิตามินเอ ซึ่งมีโครงสร้างที่เล็กกว่า โดยโมเลกุลของเบต้าแคโรทีน 1 โมเลกุล
เมื่อผ่านกระบวนการของร่างกายจะกลายเป็นวิตามินเอ 2 โมเลกุล
Benefits of Beta-carotene...คุณประโยชน์ของเบต้า แคโรทีน อย่างที่ทราบแล้วว่า เบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติเชื่อมโยงกับสารอาหารอย่างวิตามินเอ ซึ่งโดยมากแล้วจะอยู่ในไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา และพืชบางชนิด โดยวิตามินเอนั้น มีคุณสมบัติโดยตรงกับประสิทธิภาพของการมองเห็นของประสาทสัมผัสทางสายตาบริเวณเรตินาของดวงตา ช่วยการมองเห็นในที่มีดหรือที่มีแสงน้อย
รวมถึงการซ่อมแซมรักษาเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ไม่ว่าในอวัยวะต่าง ๆ หรือผิวพรรณ
อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟันอีกด้วย
คุณสมบัติที่โดดเด่นประการสำคัญ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการการเจ็บป่วย ความแก่ชรา ความเหี่ยวย่น และที่สำคัญคือ เป็นตัวการที่นำเราไปสู่โรคร้ายหลาย ๆ โรค หนึ่งในนั้นคือโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ โดยเบต้าแคโรทีน จะทำการกระตุ้นการทำงานของ T-helper Cell ซึ่งช่วยด้านการเกิดเซลล์มะเร็งได้ และสำหรับคนที่รักสุขภาพและอยากหนุ่มและสาวเสมอ
เบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชราได้อย่างดี นอกจากหนุ่มและสาวเสมอแล้ว ยังสุขภาพดีอีกด้วย
Where is Beta-carotene? หาเบต้า แคโรทีน ได้จากไหน ปัจจุบัน มนุษย์เราสามารถบริโภคสารอาหารที่มีส่วนผสมของเบต้าแคโรทีน ในพืชผักที่มีสารสีเหลือง สีส้ม และสีแดง ซึ่งพืชผักเหล่านี้มีรงควัตถุที่เป็นสารประกอบที่มีเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก อาทิ ฟักทอง มะระ ผักบุ้ง ผักคะน้า ตำลึง แตงโม แคนตาลูป หัวผักกาด มะละกอ แครอต และสามารถรับประทานได้ในรูปแบบของอาหารเสริมประเภทต่าง ๆ และในเครื่องดื่มประเภทน้ำผัก ผลไม้คั้นสดที่มีส่วนผสมของเบต้าแคโรทีน เช่น น้ำแครอต น้ำแตงโม และน้ำแคนตาลูป
Best Beta-Carotene in Thai Fruits...ผลไม้ไทยนี่แหละ สุดยอดอาหารเบต้า แคโรทีน จากการศึกษาของกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลไม้ไทยเราที่มีปริมาณของเบต้าแคโรทีนสูง 10 อันดับแรก ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต

2553-05-07

30 ข้อคิดดีๆ เพื่อชีวิตมีสุข











30 ข้อคิดดีๆ เพื่อชีวิตมีสุข

1.นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเขาต้องยิ้มกลับมาทุกครั้งแน่
3.ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4.หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน
5.ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า
6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาดธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7.ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างถนุถนอมเหมือนกันหมด
8.การขึ้นลงบันใดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันใดขั้นที่เท่าไร
9.คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวย/หล่อมากๆทันที ที่คุณถามเขาว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ/ครับ?"
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่หย่อนลงกรป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงควรเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
16.ให้ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งแล้วแทบดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องให้
17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มได้เสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน
19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนมันมีเยอะเอง
20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนที่ให้ไม่ได้
22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น
23.แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร
24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก้มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าทีจะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/26295.html จาก..learners

2553-02-10

ดื่ม.....นม





















วิธีดื่มนมไม่ให้ท้องเสีย
คนเราเมื่อพ้นวัยเด็ก น้ำย่อยชื่อเลคเตส
ที่ช่วยย่อยน้ำตาลในนมที่เรียกว่า น้ำตาลแลคโตส
จะลดลงหรือหมดไป
ดังนั้นเมื่อดื่มนมแล้ว น้ำตาลในนมจะผ่านไปสู่ลำไส้ใหญ่
แล้วถูกย่อยด้วยจุลินทรีย์ เกิดเป็นกรดและแก๊ส
แต่ก็จะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีมากจนเกิดอาการไม่สบายท้อง
วิธีแก้ คือ ควรดื่มนมหลังมื้ออาหาร คนที่เกิดอาการท้องเดิน
หรือแน่นท้องจากการดื่มนมในขณะท้องว่าง
ควรดื่มหลังมื้ออาหาร หรือรับประทานอาหารว่างไปกับการดื่มนม
เพราะแก๊สที่เกิดขึ้นจะไม่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันจำนวนมากจนเกิดอาการไม่สบายในท้องอีก
ถ้าหากยังมีปัญหาอยู่ควรจะรับประทานเป็นโยเกิร์ตแทน เพราะในขั้นตอนการผลิต
ได้ใส่เชื้อจุลินทรีย์ลงไปย่อยน้ำตาลนมไปเรียบร้อยแล้ว

2553-01-09

สตรอวเบอร์รี่






สตรอวเบอร์รี่! ผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเช่น
1.ดูแลสายตา ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่ออายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี
ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว
แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย
2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า
กล้ามเนื้อก็มีแต่จะถดถอยของเหลวบริเวณข้อต่อกระดูกก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ
และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ
ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา
แต่เราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่
3.กำราบโรคมะเร็ง กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวัน สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่จะเข้าไปช่วยลดการเกิดโรค
4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
5.ลดความดันโลหิต หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติ
6.ปราบโรคหัวใจ ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย