2552-03-30












'อะแคนทะมีบา' ภัย "คอนแทคเลนส์"
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.พญ.พนิดา โกสียรักษ์วงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
อะแคนทะมีบา เป็นโปรตัวซัวแบบเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำและดิน
มีช่วงชีวิต 2 แบบ คือ 1. แบบ “ซีสต์ มีขนาด 10-25 ไมครอน
เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่จะฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ
2. แบบ “โทรโฟซอยต์” ที่เคลื่อนไหว มีขนาด 15-45 ไมครอน
จะเปลี่ยนรูปร่างจาก “ซีสต์” มีฤทธิ์ทำลายดวงตา
อย่างไรก็ตาม เชื้ออะแคนทะมีบา ทั้ง 2 แบบ
สามารถทนทานอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ
เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ขาดอาหาร สระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีน
หรือแม้แต่บ่อน้ำร้อนเกี่ยวข้องอย่างไรกับคนใส่คอนแทคเลนส์
ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์
สามารถพบกระจกตาอักเสบเนื่องจากติดเชื้ออะแคนทะมีบาได้
โดยส่งผลทำให้เกิดอาการ ดังนี้ ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้
กระจกตาขุ่น ฝ้า เป็นแผลอักเสบที่กระจกตา
ในบางรายดูคล้ายอักเสบเนื่องจากติดเชื้อไวรัสเริม
วิธีรักษา
ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
ในส่วนของการรักษา โดยทั่วไปจะต้องหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งจะต้องผสมจากน้ำยาบางชนิดที่ไม่มีขายในท้องตลาด
โดยจะต้องหยอดตาบ่อย ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน
หรืออาจเป็นปี และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ ๆ นานหลายปี
เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบาสามารถมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของซีสต์
ได้นานหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีเชื้อโรคที่
ไปเป็นอาหารชั้นดีของเชื้ออะแคนทะมีบา ซีสต์ดังกล่าวก็จะแปลงร่างเป็น
โทรโฟซอยต์ทำให้ดวงตาอักเสบทันที ทำอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ
1. ล้างมือทำความสะอาดโดยการฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง
ก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์
2. น้ำยาทำความสะอาดล้างเลนส์ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน
ไม่เก่าเก็บเกิน 2 เดือนหลังจากเปิดใช้แล้ว
3. ขัดถูล้างเลนส์ทั้ง 2 ด้านเป็นเวลาพอสมควร
ตลอดจนล้างขัดถูตลับแช่เลนส์ให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่น้ำยา
แช่เลนส์ที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน เพราะโรคนี้มักพบในคนที่ใส่
คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มบ่อยกว่าชนิดแข็ง
โดยเฉพาะไม่ล้างทำความสะอาดเลนส์ทุกวันหรือใส่นอน
4. ควรนำตลับแช่เลนส์อบไมโครเวฟทุก 2-3 สัปดาห์
และเปลี่ยนตลับใหม่ทุก 2-3 เดือน เนื่องจากเชื้อโรคนี้อยู่ทนทาน
หากมีอาการหรือพฤติกรรมต่อไปนี้ อย่าใส่คอนแทคเลนส์
1.เปลือกตาอักเสบ
2.ตาแห้ง
3.เป็นโรคภูมิแพ้
4.ไม่มีเวลาดูแลล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์
เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบา เป็นสาเหตุสำคัญของอาการกระจกตาอักเสบ
และยังส่งผลให้เกิดแผลที่ดวงดา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ
มีความอดทนต่อยาที่ใช้รักษาทุกชนิด
ทำให้ต้องหยอดยาเป็นเวลานาน และในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา
เป็นผลให้เชื้ออาจมีการลุกลามไปทั่วทั้งกระจกตา จนเกิดอาการอักเสบทั้งลูกตาได้
การรักษาต้องหยอดยาเป็นเวลานาน ถ้ามีอาการอักเสบมาก
จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก
จึงต้องเฝ้าติดตามดูอาการเป็นเวลานาน
และในบางรายอาจมีอาการหนักถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดเอาลูกตา
ออกในที่สุดแม้ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้วก็ตาม
เนื่องจากสามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก ดังนั้น
การใส่คอนแทคเลนส์แล้วปฏิบัติตัวไม่ถูกวิธี
มีสิทธิติดเชื้อจนตาบอดได้ ยิ่งเห่อใส่ตามแฟชั่น
ยิ่งต้องควรระวังมากกว่าปกติ เพราะหากดูแลดวงตา
และรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี อาจมีเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย
หรือแค่ฝุ่นละอองปลิวเข้าตา ก็อาจพาเชื้อ “อะแคนทะมีบา”
เข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์
แนะนำให้ใส่ชนิดรายวันแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นใส่แว่นตาจะปลอดภัยกว่า

2552-03-23

รังแค แก้ไม่หาย????












วิธีขจัดรังแค
..สาเหตุของการเกิดรังแค และวิธีขจัดรังแคอย่างง่ายๆ
1. น้ำอุ่น เพิ่มปริมาณรังแค : การสระผมด้วยน้ำอุ่นจะไปละลายชั้นไขมัน
บนหนังศีรษะออก ส่งผลให้หนังศีรษะแห้งและลอกเป็นขุย
เกิดรังแคในที่สุด จึงควรเลิกสระผมด้วยน้ำอุ่น
2. แดดจัดจ้า : ตัวการทำลายผม ทำให้ผมชี้ฟู ขาดน้ำหนัก
และไม่เงางาม แสงแดดจะเข้าไปทำลายโปรตีนในเส้นผม
และทำให้ผมหยาบ จึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด
และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูที่ช่วยบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก
3. สิงห์อมควัน ผมเสียไม่รู้ตัว : เพราะควันบุหรี่จะเกาะบนเส้นผม
ทำให้ผมขาดความมันเงา และส่งผลให้สภาพศีรษะแห้งกว่าปกติ
4. นวดบำบัด ขจัดรังแค : ทุกครั้งที่สระผม ควรนวดหนังศีรษะเบาๆ
จะช่วยผ่อนคลายความเครียด และขจัดเซลล์หนังศีรษะที่ตาย
ให้หลุดลอกได้ง่ายขึ้น
5. ควรเลือกแชมพู : ที่เหมาะสมกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะ
และควรล้างแชมพูให้สะอาดทุกครั้งหลังสระผมเพื่อขจัดสารเคมีที่ตกค้าง
6. หลังสระผม :ควรใช้ผ้าขนหนูที่แห้งสะอาดซับหนังศีรษะและเส้นผม
ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าที่เปียกชื้นและไม่ใช้ผ้าร่วมกับผู้อื่น
และหลีกเลี่ยงการเกาที่ทำให้หนังศีรษะเกิดแผลอักเสบ
เพียงเท่านี้ปัญหารังแคที่มีอยู่ก็จะหายไป

2552-03-19












อาหารมหัศจรรย์ รักษาโรคได้
อาหารไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติความอร่อย
หรือเติมพลังงานให้กับร่างกายเท่านั้น
แต่ความมหัศจรรย์ของอาหารยังช่วยส่งผลต่อสุขภาพของเรา
ได้อีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นการกินดีอยู่ดี ดังคำกล่าวที่ว่า
YOU ARE WHAT YOU EAT และอาหารเหล่านี้จะเป็นตัวบอกเล่าถึง
"ความมหัศจรรย์"
ปลาแซลมอน ช่วยทำให้เราอารมณ์ดี
จากการวิจัยของ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกาได้กล่าวว่า
เพราะสารโอเมก้า 3ที่มีอยู่ในปลานั้นจะเป็นตัวช่วยทำให้เรา
อารมณ์ดีเสมอ
ชาเขียว ช่วยเพิ่มความจำ จากผลการวิจัยในประเทศญี่ปุ่น
ได้ทำการทดสอบในคนชราจำนวน 1000 คนที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำ
นอกจากจะมีความจำที่ดีเลิศแล้วยังมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย
ช็อคโกแลต ช่วยลดความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DARK CHOCOLATE
นั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสสระ ทำให้ความดันโลหิตที่ดูว่าสูงสามารถลดลงได้
องุ่น ช่วยลดคอเลสเตอรอล เพียงทานองุ่นในตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ได้ในปริมาณ
ที่พอเหมาะรับรองว่าช่วยได้แน่นอนในเรื่องของคอเลสเตอรอลที่มากล้นเกินความพอดี
ไก่ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการทดสอบให้คน 1,500 คน
ทานไก่เป็นประจำปรากฏว่าสามารถลดการทำงานของต่อม
ที่ก่อให้เกิดมะเร็งสำไส้ใหญ่ได้ถึง 21 %
โยเกิร์ต ทำให้ปากหอมสดชื่น จากผลการวิจัยบอกไว้ว่าหากใคร
ทานโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยลดการอักเสบของเหงือกและฟัน
ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ลมหายใจของเราส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
อาหารเช้า ช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจวาย โดยเฉพาะการทานขนมปังโฮลวีท
หรือข้าวกล้องที่อุดมไปด้วยสารโฟลิค จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้

2552-03-11

น้ำสมุนไพรดับกระหาย












น้ำสมุนไพรดับกระหาย
ขอแนะนำน้ำสมุนไพรดับกระหายในช่วงหน้าร้อนนี้
เพราะเดี๋ยวนี้กระแสรักสุขภาพนั้นมาแรง
แถมน้ำสมุนไพรนั้นก็ดีต่อร่างกายจริง ๆ สามารถหาได้ง่ายในบ้านเรา มีราคาไม่แพงมากนักด้วย
ซึ่งน้ำสมุนไพรที่เหมาะจะหามาดื่มเพื่อคลายร้อนในช่วงนี้ได้แก่
น้ำยาอุทัย ซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มที่มีมานานนมในบ้านเรา
โดยหยดน้ำยาอุทัยในปริมาณที่พอดีกับน้ำเย็น ๆ ไม่ว่าจะนำมาดื่มเมื่อไหร่ก็ชื่นใจเมื่อนั้น
นอกจากนี้น้ำยาอุทัยยังมีสรรพคุณแก้กระหายน้ำ แถมยังช่วยทำลายเชื้อแบคทรีเรียได้อีกด้วย
น้ำมะนาว เป็นอีกหนึ่งเครื่องยอดฮิตที่มีมานานแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำมะนาวนั้นช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
และยังช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย
น้ำกระเจี๊ยบ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่สามารถหาดื่มได้ทั่ว ๆ ไป นอกจากจะช่วยดับกระหายแล้ว
ใครที่มีอาการร้อนในแนะนำให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบเลยทีเดียว เพราะจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ค่ะ
น้ำมะพร้าว นั้นได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์มาแต่ไหนแต่ไร ในช่วงอากาศร้อน ๆ เช่นนี้
ถ้าได้น้ำมะพร้าวเย็น ๆ ชื่นใจด้วยล่ะก็รับรองอุณภูมิในร่างกายของคุณจะไม่มีทางร้อนแบบปรอทแตกอย่างแน่นอนจ้า
น้ำมะตูม ถือเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในหน้าร้อนที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่โบราณ
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเมื่อดื่มน้ำมะตูมแล้วนอกจากกลิ่นหอม ๆ ยังสามารถดับกระหายได้เป็นอย่างดี
แถมยังรับรองด้วยว่า ดื่มแล้วไม่มีทางเป็นโรคท้องร่วงแน่ ๆ
สำหรับใครที่ต้องการดับกระหาย ลดอุณหภูมิในร่างกาย และอยากรู้สึกสดชื่นแล้วล่ะก็แนะนำ
ให้หา น้ำใบบัวบก น้ำแตงโม และน้ำใบเตย มาดื่มได้เลย เพราะคุณจะได้ตามสิ่งที่คุณปรารถนาอย่างแน่นอน
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/13751.html